Friday 15 March 2019

trick

            ทริก ออร์ ทรีต (หลอกหรือเลี้ยง) เป็นการละเล่นตามประเพณีฮาโลวีนของพวกเด็ก ๆ โดยพวกเด็ก ๆ มักจะแต่งตัวแล้วออกไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อขอขนม ลูกอม หรือบางครั้งก็เป็นเงิน ด้วยคำถามที่ว่า “ทริก ออร์ ทรีต?” คำว่า ทริก (Trick) หมายถึง หากเจ้าบ้านไม่ทำการ ทรีต (Treat) คือมอบสิ่งของตามที่เด็ก ๆ ร้องขอ ก็จะก่อกวนเจ้าบ้านหรือบริเวณที่พักอาศัย ซึ่งในบางพื้นที่ของไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์เด็กๆจะร้องเพลง หรือเล่าเรื่องผีเพื่อแลกกับการที่เจ้าบ้านยอม Treat
costume
                   การเล่น ทริก ออร์ ทรีต กลายมาเป็นกิจกรรมการหาเงินบริจาคขององค์การยูนิเซฟในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเริ่มจากการเป็นงานประจำของท้องถิ่นในแถบชานเมืองฟิลาเดลเฟียในปี 1950 และขยายวงกว้างออกไปทั่วประเทศในปี 1952 โดยโรงเรียนจะมอบกล่องรับบริจาคให้เด็กๆที่ออกไปเล่น ทริกออร์ทรีต เพื่อรับบริจาคจากบ้านต่างๆที่เด็กๆไปเยือน (บางครั้งก็จะขอเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ เช่น ห้างฮอลมาร์ค) ซึ่งเด็กๆสามารถหาเงินบริจาคให้กับองค์การยูนิเซฟ ได้มากกว่า 118 ล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่เริ่มกิจกรรม ในปี 2006 ยูนิเซฟในแคนาดาได้ยุติการรับบริจาคในช่วงฮาโลวีนด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยของเมืองและด้านการบริหาร และหลังจากที่หารือกับโรงเรียนต่าง ๆ แล้วจึงตัดสินใจที่จะคิดรูปแบบใหม่ในการขอรับเงินบริจาค 

การแต่งตัว เครื่องแต่งกาย ในวันฮาโลวีน

             เครื่องแต่งกายประจำเทศกาลฮาโลวีน คือแต่งเป็นสัตว์ประหลาด เช่น  ผีร้าย โครงกระดูก แม่มด และภูต สาเหตุก็เนื่องมาจาก เพื่อต้องการทำให้ปิศาจร้ายกลัว ซึ่งการแต่งกายส่วนใหญ่มักจะเอาแบบอย่างมาจากบทประพันธ์มากกว่าที่จะเป็นความเชื่อของท้องถิ่น เช่น ตัวละครต่าง ๆ จากโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และสิ่งอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียง
วันฮาโลวีน
                  บิก รีเสิร์ท ดำเนินการสำรวจสำ กลุ่มการค้าปลีกแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกาและพบว่า 53.3% ของผู้บริโภคตั้งใจจะซื้อเครื่องแต่งกายสำหรับวันฮาโลวีนในปี 2005 โดยใช้จ่ายเฉลี่ยแล้ว 38.11 เหรียญ (ซึ่งเพิ่มจากปีที่แล้ว 10 เหรียญ) พวกเขายังคาดว่าในปี 2006 จะใช้จ่ายเงิน 4.96 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.3 พันล้านเหรียญ

สัญลักษณ์และเครื่องหมาย ฮาโลวีน

วันฮาโลวีน
ภาพ วันฮาโลวีน
          
                ในวันฮาโลวีนอีฟ ชาว เซลท์ โบราณจะแขวนโครงกระดูกไว้ตรงธรณีหน้าต่าง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความตาย ประเพณีนี้มีจุดกำเนิดในยุโรป จะมีการแกะสลักโคมไฟจากหัวผักกาด เพราะมีความเชื่อว่าหัวเป็นส่วนที่มีพลังที่สุดของร่างกาย ประกอบไปด้วยจิตวิญญาณและภูมิความรู้ ซึ่งชาวเซลท์ จะใช้ส่วนหัวของผักมาขับไล่วิญญาณร้าย ตำนานของเวลส์ ไอริช และบริททิช จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหัวที่ทำด้วยทองเหลือง ซึ่งเป็นเรื่องราวการล่าหัวมนุษย์ที่แพร่หลายในหมู่ชาวเซลทิคโบราณ ซึ่งมักจะนำเอาหัวที่ล่ามาได้นี้ไปตอกตะปูตรึงไว้ที่ทับหลังประตู หรือเอาไปวางไว้ข้างเตาไฟ เพื่อประกาศถึงความหลักแหลม

          ชื่อของแจ็ค โอ แลนเทิร์นมีที่มาจากแจ็คชาวนาเฒ่า ขี้ตืด ติดพนัน และขี้เมา เขาหลอกปีศาจให้ปีนต้นไม้ที่ทำกับดักเป็นรูปสลักไม้กางเขนไว้ที่ลำต้น เพื่อไม่ให้ปีศาจกลับลงมาได้ ปีศาจได้แก้แค้นโดยการสาปแช่งแจ็ค ให้เขาร่อนเร่ไปยามค่ำคืนด้วยไฟดวงเดียวที่เขามี คือมีเทียนเล่มเดียวปักอยู่ในโพรงของหัวผักกาด
           แต่ในอเมริกาเหนือสามารถหาฟักทองได้ง่ายกว่าหัวผักกาด ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าจึงหันมาแกะสลักฟักทองแทนหัวผักกาด หลายครอบครัวจะฉลองฮาโลวีนโดยการแกะสลักฟักทองเป็นรูปร่างน่ากลัวหรือรูปหน้าตลกแล้วไปวางที่ธรณีประตูในยามมืด
pk1
           ประเพณีการแกะสลักฟักทองเริ่มต้นเข้ามาในอเมริกาเหนือในยุคที่ชาวไอริชประสบภาวะข้าวยากหมากแพง และเกี่ยวเนื่องกับช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวพืชผล ซึ่งประเพณีการแกะสลักนี้ ในช่วงแรกไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลฮาโลวีนเลย จนกระทั่ง กลางถึงปลายศตวรรษที่ 1800
         ภาพรวมของวันฮาโลวีนส่วนใหญ่จะผสมผสานกันระหว่างผลงานของโกธิค และนวนิยายสยองขวัญที่เกี่ยวกับแฟงเคนสไตน์และแดร็คคูล่า เป็นเวลาเกือบศตวรรษแล้วที่ผู้สร้างหนังชาวอเมริกัน ,ศิลปินภาพกราฟฟิกและ บริษัทผลิตภาพยนตร์ของอังกฤษ “British Hammer Horror productions” มักผลิตผลงานสยองขวัญลึกลับออกมา
      เพราะเมื่อเอ่ยถึงวันฮาโลวีนก็จะต้องเกี่ยวกับความตาย ปีศาจร้าย ตำนานเกี่ยวกับเวทมนต์และอสูรกายในตำนาน ซึ่งตัวละครพื้นฐานดั้งเดิม ได้แก่ ซาตาน พญามัจจุราช ภูตผี ปิศาจ ผีดิบ แม่มด ก็อปลินส์ แวมไพร์ ผีดูดเลือด มนุษย์หมาป่า ซอมบี้ โครงกระดูก แมวดำ แมงมุม ค้างคาว นกฮูก นกกา นกแร้ง
h6
แวมไพร์
วันฮาโลวีน
ภูตผี


h4
มนุษย์หมาป่า
 
 วันฮาโลวีน
             ปิศาจ

วันฮาโลวีน
ซอมบี้
วันฮาโลวีน
มนุษย์ฟักทอง
        สัญลักษณ์วันฮาโลวีนในอเมริกา ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์สยองขวัญคลาสสิก (ซึ่งมักมีตัวละครจากบทภาพยนตร์ เช่น อสูรกายแฟงเคนสไตน์ และมัมมี่) สภาพอากาศจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมีสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์อันได้แก่ ฟักทอง เปลือกข้าวโพด และหุ่นไล่กา บ้านเรือนต่าง ๆ มักจะประดับตกแต่งด้วยสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์ตามที่ได้กล่าวไป ซึ่งสีส้มและดำเป็นสีประจำเทศกาลฮัลโลวีน

Wednesday 13 February 2019

ที่มาของวันฮาโลวีน(Halloween)

วันฮาโลวีน
ภาพท ี่ 1   วันฮาโลวีนอันแสนลึกลับ

        วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเซลท์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันขึ้นปีใหม่  
          ซึ่งในวันที่ 31 ตุลาคม นี่เองที่ชาวเซลท์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซลท์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป   
          นอกจากนี้คืนดังกล่าวยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับ และจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์  
          บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเซลท์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน   
          ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายน ให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม หรือ Hallow's Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween  
          กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสู่ร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาด ตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป 

          ซึ่งในวันที่ 31 ตุลาคม นี่เองที่ชาวเซลท์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซลท์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป   
          นอกจากนี้คืนดังกล่าวยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับ และจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์  
          บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเซลท์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน   
          ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายน ให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม หรือ Hallow's Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween  
          กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสู่ร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาด ตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป